Pages

Ads 468x60px

วันเสาร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2553

command window คืออะไร?

Tip Computer     ถาม: ผมเพิ่งหัดเล่นคอมพิวเตอร์ได้ไม่นาน พอดีอ่านพบในนิตยสารคอมพิวเตอร์.ทูเดย์ (computer.today) พูดถึง “command window” ไม่ทราบว่า มันคืออะไรครับ?

ตอบ: command window ในที่นี้หมายถึง หน้าต่าง Command Prompt ในอดีตการทำงานด้วย Command Prompt จะถูกใช้ในระบบปฏิบัติการรุ่นก่อนที่จะมี Windows ชื่อว่า MS-DOS โดยใช้สั่งการให้คอมพิวเตอร์ทำงานในลักษณะต่างๆ ตามที่ต้องการด้วยการพิมพ์คำสั่งเข้าไปผ่านทางคีย์บอร์ด ในขณะที่ Windows คุณใช้เมาส์ในการสั่งการเป็นส่วนใหญ่ ปัจจุบันผู้ใช้ยังสามารถพบเห็น Command Prompt ได้จากในระบบปฏิบัติการ Windows ด้วยการคลิกปุ่ม Start เลือก All Programs คลิก Accessories เลือก Command Prompt
สำหรับการทำงานด้วย Command Prompt จะค่อนข้างยุ่งยาก เนื่องจากคุณต้องจำคำสั่งให้ได้ทำให้การทำงานไม่ค่อยสะดวก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไม Windows และ Mac OS X จึงมีส่วนติดต่อผู้ใช้เป็นกราฟิกในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มันมีการทำงานบางอย่างบน Windows ยังคงต้องจัดการผ่านหน้าต่าง Command Prompt ดังนั้นเราจึงยังคงได้เห็นมันอยู่จนถึงทุกวันนี้

ทิปจาก http://www.arip.co.th/

เก็บอีเมล์เก่าไว้ให้เปิดดูได้อย่างง่ายดาย

ถาม: ผมต้องการพื้นที่ว่างบนฮาร์ดดิสก์จึงตัดสินใจก็อปปี้ และลบไฟล์อีเมล์เก่าของ Outlook Express ที่อยู่ในเครื่องออกไป อย่างไรก็ตาม ผมยังจำเป็นต้องเก็บอีเมล์เก่าเอาไว้สืบค้นในบางครั้ง ซึ่งผมพบว่า OE ไม่ยอมให้อ่านอีเมล์จากที่อื่น นอกจากที่จัดเก็บเฉพาะของมันเท่านั้น ถ้าเป็นอย่างนี้ ผมควรทำอย่างไรดีครับ?

ตอบ:Outlook Express จะจัดเก็บเมสเสจของอีเมล์ด้วยการเข้ารหัสไว้ในไฟล์นามสกุล dbx โดยจะสามารถเปิดอ่านได้ใน OE หรือแอพพลิเคชันจากผู้ผลิตรายอื่นๆ อย่างเช่น OE Reader ซึ่งในการที่คุณจะอ่านอีเมล์เก่าที่จัดเก็บไว้แล้วด้วย Outlook Express จะสามารถทำได้ด้วยการอิมพอร์ตเข้าไปในโปรแกรม โดยขั้นแรกคลิกเมนู File เลือก Import คลิก Messages… ไดอะล็อกบ๊อกซ์ของตัววิเศษสำหรับการอิมพอร์ตอีเมล์จะปรากฏขึ้นมา คลิกเลือก Microsoft Outlook Express 6 แล้วคลิกปุ่ม Next จากนั้นคลิกเลือก Import mail from an OE6 store directory แล้วคลิกปุ่ม OK สืบค้นเข้าไปยังโฟลเดอร์อีเมล์เก่าของคุณ เพื่อให้ OE จัดการดึงอีเมล์เก่าทุกฉบับที่เข้ารหัสไว้ในไฟล์เข้ามาในโปรแกรม


อย่างไรก็ตาม การอิมพอร์ตอีเมล์เก่าเข้าไป ไม่น่าจะใช่คำตอบสำหรับการใช้งานเป็นครั้งคราว นอกจากการใช้โปรแกรม OE Reader แล้ว อีกวิธีหนึ่งที่อยากจะแนะนำก็คือ การสร้างแฟ้มถาวร (archived file) ของอีเมล์เก่าที่คุณต้องการเก็บไว้เปิดในคราวต่อๆ ไป ซึ่งขั้นตอนก็คือ กดปุ่ม Ctrl ค้างไว้ แล้วคลิกเลือกอีเมล์เก่าทั้งหมดที่ต้องการเก็บ จากนั้นคลิกขวา เลือกคำสั่ง “Forward As Attachement” โปรแกรม Outlook Express จะสร้างอีเมล์ขนาดใหญ่ที่ภายในเก็บอีเมล์เก่าทุกฉบับเป็นไฟล์แนบ ซึ่งคุณสามารถจัดเก็บไว้ที่ใดก็ได้ตามต้องการในรูปแบบของไฟล์ .eml และสามารถเปิดได้อย่างง่ายดายด้วย OE โดยดับเบิ้ลคลิกบนไฟล์ดังกล่าว

ทิปจาก http://www.arip.co.th/

เก็บภาพจากสไลด์โชว์ใน Photo Story 3

ถาม: ผมได้รับสไลด์โชว์จากเพื่อนของผม แต่มันทำด้วยโปรแกรม Photo Story 3 ของไมโครซอฟท์ อยากทราบว่า ผมจะสามารถจัดเก็บไฟล์ภาพจากสไลด์โชว์ของเพื่อนผมได้อย่างไรครับ?

ตอบ: Photo Story จะสร้างสไลด์โชว์ในรูปของไฟล์วิดีโอ ดังนั้น คุณจะไม่สามารถเข้าถึงแต่ละภาพที่เห็นได้โดยตรง ผมแนะนำให้ติดต่อเพื่อนของคุณแชร์ไฟล์ภาพบนเน็ตจะสะดวกกว่าครับ แต่ถ้าไม่ได้จริงๆ คุณสามารถเก็บภาพที่แสดงบนสไลด์โชว์ได้เหมือนกัน โดยเมื่อภาพปรากฏขึ้นบนหน้าจอให้กดปุ่ม Shift และคลิกปุ่ม Print Screen จากนั้นเปิดโปรแกรมแก้ไขภาพที่คุณชื่นชอบ กดปุ่ม Ctrl+V เพื่อวางภาพที่ได้ก็อปปี้จากสไลด์โชว์ อย่างไรก็ตาม พึงระลึกว่า ภาพที่คุณเก็บได้จากหน้าจอจะมีคุณภาพต่ำกว่าต้นฉบับนะครับ


ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตและการออกแบบ Web Site

ถ้าจะพูดถึงการสื่อสารในรูปแบบใหม่ ที่สามารถสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและมีราคาถูกที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นที่จะกล่าวถึง อินเทอร์เน็ตซึ่งได้รับความนิยมไปทั่วโลก ไม่เว้นแม้กระทั่งประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันก็มีการใช้งานอินเทอร์เน็ตกันแพร่หลายในหน่วยงานราชการ องค์กรต่าง ๆ โดยได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้ทุกระดับเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่กำลังเป็นกลุ่มผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดสำหรับประเทศไทย และอาจจะพูดได้ว่า อินเทอร์เน็ตนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงของวงการคอมพิวเตอร์ครั้งสำคัญที่สุด นับตั้งแต่มีการเปิดตัวเครื่องพีซี การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์จำนวนมากเข้าด้วยกันเป็นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนข้อมูล และการสื่อสารที่เป็นประโยชน์อย่างมหาศาล คนจากทั่วโลกแทบทุกเพศทุกวัยและทุกอาชีพ สามารถสื่อสารกันผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่างไม่มีข้อจำกัดทางเชื้อชาติ หรือศาสนา อินเทอร์เน็ตจึงได้กลายเป็นสังคมขนาดใหญ่ที่เกิดขึ้นในโลกคอมพิวเตอร์โดยถูกขนานนามว่า ไซเบอร์สเปซ (Cyberspace) ”
                อินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันมีผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกมากกว่า 60 ล้านคน และมีผู้สมัครเป็นสมาชิกเพื่อขอใช้บริการอินเทอร์เน็ตมากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน อินเทอร์เน็ตจึงก่อให้เกิดโอกาสและบริการใหม่มากมาย เช่น สามารถทำธุรกรรมผ่านระบบอินเทอร์เน็ต พบประสนทนากับผู้อื่น เผยแพร่ความรู้ และให้บริการด้านข้อมูลข่าวสาร นอกจากนี้อินเทอร์เน็ตยังเป็นสื่อที่นำเสนอความบันเทิงในรูปแบบของรายการวิทยุ โทรทัศน์ ดนตรี ภาพยนตร์ และเกมส์ จนมีการกล่าวว่าถ้าธุรกิจใดไม่สนใจโลกไซเบอร์สเปซ ธุรกิจนั้นกำลังปฏิเสธอนาคตของตัวเองเสียแล้ว

ความเป็นมาของอินเทอร์เน็ต


                อินเทอร์เน็ตคือเครือข่ายของระบบคอมพิวเตอร์ขนาดต่าง ๆ เชื่อมต่อเข้าหากันจนเป็นระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุด เป็นจำนวนหลายล้าน ๆ เครื่องโดยใช้โปรโตคอลชนิดพิเศษในการสื่อสารซึ่งอินเทอร์เน็ตได้มีบริการต่าง ๆ หลายอย่างซึ่งมีความสามารถต่าง ๆ กันไป
ประวัติความเป็นมาของอินเทอร์เน็ตเริ่มต้นจากเครือข่าย ARPAnet ของหน่วยงานชื่อ Advance Research Projects Agency ซึ่งเป็นเครือข่ายการวิจัยเพื่อป้องกันของ U.S. Department if Defense ซึ่งเกิดในช่วงปี 1970 มีการออกแบบระบบที่ทำให้นักวิจัยและนักวิทยาศาสตร์ทำการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างกันและกันได้ดีขึ้น และทำให้เกิดการพัฒนาเป็นระบบโอนถ่ายข้อมูล รูปแบบใหม่ที่สามารถสื่อสารได้หลายทางคือ Transmission Control Protocol / Internet protocol (TCP/IP)   ซึ่งต่อมาคือ มาตรฐานการรับส่งข้อมูลของ
อินเทอร์เน็ต           
                ต่อมาจึงมีการจัดตั้งหน่วยงานใหม่ที่ชื่อว่า The National Science Foundation (NFS) หรือ NFSNET โดยผู้เชี่ยวชาญจาก ARPAnet ที่แยกตัวออกมา เครือข่ายนี้ใช้สำหรับเชื่อมต่อเครือข่ายของมหาวิทยาลัย และศูนย์วิจัยต่าง ๆ เข้าด้วยกันทำให้เกิดการเพิ่มปริมาณเครือข่าย และการติดต่อสื่อสารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น

E-mail, การโอนถ่ายข้อมูล (FTP) และการใช้ข้อมูลร่วมกัน และในที่สุดก็เรียกเครือข่ายนี้ว่า อินเทอร์เน็ต (Internet) ”
ส่วนประกอบต่าง ๆ ของอินเทอร์เน็ต (Components of Internet)

                ในอินเทอร์เน็ตมีบริการต่าง ๆ ที่มีความแตกต่างกันตามจุดประสงค์การใช้งานของผู้ใช้ เช่น ความต้องการในการสื่อสาร ,ความต้องการในการหาข้อมูล , การนำเสนอสินค้าและบริการผ่านทางเครือข่าย เป็นต้น ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องทำความรู้จักกับบริการต่าง ๆ ในอินเทอร์เน็ตเพื่อที่จะได้ใช้งานอย่างคุ้มค่า ซึ่งในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมกันอยู่นั้นประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เป้น Server หรือเรียกอีกแบบคือ Host ซึ่งทำหน้าที่ต่าง ๆ กันในการให้บริการในระบบ   ซึ่งสามารถแบ่งบริการต่าง ๆ ของอินเทอร์เน็ตเป็น 
2 ส่วนดังนี้
1.       บริการด้านการสื่อสาร (Communication Service)
2.       บริการด้านการค้นหาข้อมูล (Information Service)
บริการด้านการสื่อสารในอินเทอร์เน็ตมีความหลากหลายในแง่ของวัตถุประสงค์ การใช้งานและความสามารถของโปรแกรมที่ใช้ในแต่ละบริการ ซึ่งอาจแบ่งแยกย่อยได้ดังนี้

จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (E-mail)

                E-mail ย่อมาจาก Electronic Mail   E-mail จึงเป็นบริการในอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากการใช้งานที่ง่ายและความต้องการในการติดต่อของผู้คนในปัจจุบันมีสูงมาก ทำให้บริการ E-mail ได้รับการตอบรับจากผู้ใช้ในวงกว้าง ความสามารถของ E-mail คือการส่งข่าวสารไปถึงผู้รับได้ในระยะเวลาอันสั้นแทบจะทันทีหลังจากมีการส่ง ทำให้เป็นระบบที่รวดเร็วกว่าการสื่อสารแบบอื่น อีกทั้งยังประหยัดเงินในการใช้งานมากกว่าการสื่อสารแบบเก่า เช่น FAX เป็นต้น ดังนั้นการแพร่หลายของ E-mail ฟรี ของ Web Site ต่าง เช่น Hotmail (http://www.hotmail.com) , USA net (http://www.usa.net) หรือแม้แต่ E-mail ฟรี ของคนไทยคือ Thaimail (http://www.thaimail.com) เป็นต้น ในสมัยที่ Email ยังไม่ได้รับการพัฒนาเป็นแบบ Graphic นั้น  โปรแกรมเมล์ที่มีอยู่จะใช้ได้กับเครื่องที่รับระบบปฏิบัติการ UNIX เท่านั้น ซึ่งใช้การ input ข้อมูลและคำสั่งแบบตัวอักษร (Text mode) เช่น โปรแกรม PINE ซึ่งต่อมามีการพัฒนาโปรแกรมแบบที่เป็น Graphic เช่น โปรแกรม Eudora ซึ่งเป็นโปรแกรมเมล์ที่ใช้ง่าย และมีความสามารถในการปรับแต่งค่าต่าง ๆ ได้มากมาย แต่ในปัจจุบัน โปรแกรม Web browser เช่น Netscape Navigator และ Internet Explorer ได้รวมโปรแกรมเมล์ไว้ในตัวอยู่แล้ว ซึ่งโปรแกรมเมล์ที่รวมอยู่ใน Browser ส่วนใหญ่มีความสามารถสูงและใช้งานง่าย

บริการกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (Usenet)

                เป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากพอสมควร เนื่องจากลักษณะพิเศษ คือ การแบ่งหัวข้อความสนใจในเรื่องต่าง ๆ ออกเป็นเรื่องย่อย ๆ  แล้วแต่ว่าจะมีคนตั้งขึ้นมา แล้วให้มีคนที่มีความสนใจคล้ายกันเข้ามาทิ้งข้อความต่าง ๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ ไว้ แล้วผู้ที่เข้ามาอ่านคนอื่น ๆ สามารถเข้ามาแสดงความคิดเห็นได้ บริการนี้จะเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Newsgroup ปัจจุบันมี  Web Site  ที่ให้การบริการแบบกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ เกิดขึ้น

มากมายทั้งของไทยและต่างประเทศ สำหรับประเทศไทย  Web Site  ที่มีชื่อเสียงในการบริการทางด้านนี้ดีที่สุดก็คงเป็น  Web Site  พันธ์ทิพย์ (http://www.pantip.com) ซึ่งได้แบ่งหัวข้อต่าง ๆ ไว้มากมายสามารถเข้าไปสอบถามปัญหาหรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ตนเองสนใจได้ตลอดเวลา

การโอนถ่ายข้อมูลระหว่างเครื่อง (File Transfer Protocol : FTP)

                FTP เป็นบริการอีกอย่างหนึ่งที่มีความจำเป็นมากในระบบอินเทอร์เน็ต เนื่องจากเมื่อระบบ World wide Web มีการขยายตัวของผู้ใช้มากขึ้น ก็ต้องมีการโอนถ่ายข้อมูลระหว่างเครื่องมากขึ้น เช่น เมื่อผู้ต้องการออกแบบ  Web Site  ได้ทำการออกแบบเสร็จแล้ว ต้องมีการส่งข้อมูลทั้งหมดไปที่ Server เพื่อให้ผู้ใช้ (User) สามารถเข้าไปที่  Web Site  เพื่อดูข้อมูลได้ ปัจจุบันมีโปรแกรมที่สามารถทำให้ใช้งานในรูปแบบของ FTP ได้ง่ายขึ้นเช่น WS_FTP, Cute_FTP เป็นต้น

การสนทนาผ่านระบบออนไลน์ (Internet Relay Chat : IRC)

                IRC คือห้องสนทนาแบบออนไลน์ ซึ่งแบ่งเป็นห้องย่อยให้ผู้ใช้ log in เข้ามาเพื่อพูดคุยกันในเรื่องต่าง ๆ
ที่ต้องการ โดยอาจจะมีการตั้งหัวข้อเป็นชื่อห้องไว้ก่อนก็ได้ หรือเข้ามาแล้วค่อยตั้งประเด็นในการพูดคุยกันก็ได้ วิธีการใช้คือสามารถพิมพ์ข้อความที่ต้องการจากเครื่องของ หลังจากเคาะปุ่ม enter แล้ว ข้อความนั้นจะไปปรากฏบนหน้าจอของคนอื่นๆ ซึ่งเขาก็สามารถอ่านได้ ในขณะเดียวกันก็สามารถอ่านข้อความจากคนอื่น ๆ ได้เช่นกัน เรียกบริการนี้อีกชื่อหนึ่งว่า Chat Room ปัจจุบันมีโปแกรมอีกแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ คือ ICQ  (I Seek You)  ซึ่งเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการพูดคุยทางอินเทอร์เน็ตเหมือนกัน

World Wide Web

                เป็นบริการที่ได้รับความนิยมมากที่สุดรองจากการใช้ E-mail เนื่องจากเป็นช่องทางการเข้าถึงข้อมูลที่สะดวกที่สุดในปัจจุบัน กระแสความนิยมของอินเทอร์เน็ตที่เกิดขึ้นอาจจะเรียกได้ว่าเป็นเพราะ  Web Site  เลยทีเดียว เนื่องจากปัจจุบันมี  Web Site  เกิดขึ้นใหม่ทุกวันและเป็นข้อมูลที่กล่าวกันว่า ถ้าเข้าไปดู  Web Site  ละหนึ่งนาทีก็ไม่สามารถดูข้อมูลได้หมดในช่วงชีวิตของ นอกจากนี้กระแสความนิยมของ  Web Site  ทำให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวข้องตามมาอีกมากมาย  เช่น  E-Commerce, การเจริญเติบโตของตลาดคอมพิวเตอร์ ฯลฯ

ประวัติของ World Wide Web (Web History)

            การพัฒนาระบบ World Wide Web เริ่มต้นเมื่อเดือนมกราคม 1989 โดยนักวิจัยจากสถาบัน CERN (Conseil European Pour La Recherche Nucleaire) ซึ่งเป็นห้องทดลองใน เจนีวา ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ชื่อ Tim Berners-Lee ได้นำความคิดเรื่อง Hypertext ของ Vannevar Bush และ Ted Nelson มาใช้ในจุดประสงค์ที่จะกระจายข้อมูลในองค์กร ซึ่งมีหลัก 3 ประการที่สำคัญคือ
1.       การทำงานในหน้าของผู้ใช้ (User) จะต้องสามารถเรียกใช้ข้อมูลจากเครื่องคอมพิวเตอร์ที่หลากหลายในด้านระบบปฏิบัติการได้
2.       Interface จะต้องสามารถแสดงผลกับข้อมูลหลายรูปแบบได้
1.       ต้องสามารถให้ผู้ใช้เข้าถึงข้อมูลใน Network ได้ง่าย
ช่วงปลายปี 1990                  ต้นแบบของ www ได้ทดลอง Run บนเครื่อง Next แต่ยังไม่รับความแพร่หลายนัก

มีนาคม 1991                         www interface ได้ถูกใช้ใน Network โดยการลงที่เครื่อง Server ของ CERN ปลายปี 1991 ทาง CERN ได้ประกาศระบบไฟล์ใน Uernet Newsgroup และโปรแกรม WAIS ได้ประกาศใช้อย่างเป็นทางการ

ปี 1992                                   CERN ได้พัฒนา Web อย่างต่อเนื่อง และเริ่มแพร่หลายในหมู่นักวิจัย โดยมีจำนวน Web server ประมาณ 50 server
ปี 1993                                   เริ่มมีการพัฒนา Graphic Interface Viewer ขึ้นมาเป็นครั้งแรกโดยเรียกว่า Browser โดยนักศึกษาปริญญาตรี มหาวิทยาลัย Illinois At Urbana Champaign ชื่อว่า มาร์ค แอนเดรสัน โดยโปรแกรมนี้ชื่อว่า Mosaic ซึ่งเป็นโปรแกรมที่แสดงผลของ Web โดยใช้ระบบ Point-And-Click-Design การเจริญเติบโตของ Web ในปี 1993 เติบโตอย่างรวดเร็วทำให้มีจำนวน Server เพิ่มขึ้นเป็น 500 Server ในปลายปี 1993

ปี 1994                                   บริษัทต่าง ๆ เริ่มโดดเข้ามาร่วมในการพัฒนา Browser ต่าง ๆ โดยมีการเปิดตัว Browser ใหม่ ๆ หลายบริษัท เช่น Netscape Communication Corporation ทำให้ในกลางปี 1994 มี Web server เพิ่มขึ้นมาเป็น 1,500 Server มีการกำหนดมาตรฐานของ Web โดยตั้งองค์กรขึ้นมา เพื่อควบคุมพัฒนากาการของ Web ให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันชื่อว่า World Wide Web Consortium หรือ W3C (www.w3c.org)

ปี 1995                                   การเติบโตของ Web ยังคงรวดเร็วและต่อเนื่องโดยมีจุดเปลี่ยนแปลงอยบู่ที่ Browser ของ Netscape Communication ซึ่งใช้ชื่อว่า Netscape Navigation ซึ่งมีความสามารถในการแสดงผลของ HTML (Hypertext Mark-up Language) ได้ดีขึ้น ซึ่งสนับสนุน HTML2 ของ W3C ซึ่งทำให้ Netscape Navigation คือ Browser ที่ครองตลาดกว่า 90% ในปีนั้น และการใช้ Web ทางการค้าก็ได้เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปีนี้ โดยเริ่มต้นธุรกิจที่เกี่ยวกับ Web เช่น Search Engine, ISP , Web Designer เป็นต้น

ปี 1996   มีการแข่งขันกันอย่างมากในวงการ Internet และ Browser เนื่องจาก Microsoft ได้เปลี่ยนมาประกาศสนับสนุนการพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อใช้งานร่วมกับอินเทอร์เน็ตโดยการออกโปรแกรม Browser ใหม่ชื่อว่า Internet Explorer ทำให้
เกิดสงคราม Browser ขึ้นมาเนื่องจากนโยบายการแจก Browser ฟรีของ Microsoft ทำให้ส่วนแบ่งการตลาดของ Netscape ตกลงอย่างรวดเร็ว
ปี 1997- ปัจจุบัน                    มาถึงวันนี้วงการอินเทอร์เน็ตและ  Web Site  ได้พัฒนาขึ้นอย่างมากมาย มีกระแสหลายอย่างที่ผลักดันให้อินเทอร์เน็ตได้รับความนิยมมากขึ้น โปรแกรม Browser ก็ได้รับการพัฒนาและมีขีดความสามารถสูงขึ้นอย่างมากมาย และ Browser ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันก็คือ Internet Explorer ซึ่งพัฒนามาถึง version 6 แล้ว ทำให้ทุกวันนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักคำว่า อินเทอร์เน็ต อีกต่อไป

 Web Site  สามารถใช้ทำอะไรได้บ้าง

                                       โดยหลักการแล้ว WWW ได้ถูกออกแบบมาให้เป็นเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งปัจจุบันถูกเรียกย่อ ๆ ว่า Web ซึ่งขีดความสามารถของเทคโนโลยีWebมีความสามารถในการทำหลาย ๆ สิ่งมากยิ่งขึ้น จึงทำให้การประยุกต์ใช้งานต่าง ๆ บน WWW เป็นไปอย่างหลากหลายตั้งแต่การประกาศข่าวธรรมดา ๆ ไปจนถึงการทำการค้าด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ นี่เป็นเพียงตัวอย่างที่ต้องการแสดงให้เห็นว่าเทคโนโลยีของWeb ทำอะไรได้บ้าง
               
เอกสารประชาสัมพันธ์ (Catalog / Brochure)

                เอกสารประชาสัมพันธ์ ถือได้ว่าเป็นเอกสารที่องค์กรประเภทขายตรง ซุปเปอร์มาเก็ต ห้างสรรพสินค้า ฯลฯ นำมาเป็นเอกสารหลักในการประชาสัมพันธ์ทางการตลาดเพื่อให้ลูกค้าสารมารถเห็นสินค้าต่าง ๆ จูงใจทางราคาและให้รายละเอียดคร่าว ๆ ของสินค้า การจัดพิมพ์เอกสารเหล่านี้ในแต่ละครั้ง องค์กรจะต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก หากต้องการพิมพ์สี่สีทั้งเล่ม ก็จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเป็น 2 เท่าของการพิมพ์แบบขาวดำ การจัดทำ  Web Site  เพื่อประชาสัมพันธ์เหล่านี้จึงเป็นวิธีที่สามารถลดค่าใช้จ่ายขององค์กรลงได้ นอกจากลูกค้าจะสามารถเข้าชม  Web Site  ได้ตลอด 24 ชั่วโมงแล้ว องค์กรเองก็สามารถปรับปรุง  Web Site  ของตนเองได้ตลอดเวลาโดยไม่จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายในการพิมพ์เอกสารเหล่านั้นอีกครั้งหนึ่ง

ห้องแสดงสินค้า (Showroom)

                จะเห็นได้ว่า ธุรกิจหลายประเภทในปัจจุบันนี้เช่น ขายรถยนต์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ ของเล่น ภาพวาด ฯลฯ ธุรกิจประเภทนี้โดยปกติจำเป็นต้องสร้างร้านเพื่อแสดงสินค้า ซึ่งสินค้าต่าง ๆ เหล่านั้นเป็นสินค้าที่มีราคาสูง หากนำสินค้าจริงทุกรุ่นมาตั้งไว้ให้ลูกค้าชม ก็จำเป็นต้องลงทุนเป็นจำนวนมหาศาล ด้วยเทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ตในปัจจุบัน การจัดทำ  Web Site  จะสามารถทดแทนลักษณะของสำนักงานหรือร้านค้าที่เป็นห้องแสดงสินค้าได้เป็นอย่างดี เนื่องจากสามารถพัฒนา  Web Site  เป็นลักษณะสามมิติ ซึ่งผู้ชมสามารถจับหรือเคลื่อนสิ้นค้าเหล่านี้แบบเสมือนจริง

ศูนย์บริการทางอินเทอร์เน็ต (Internet Service Center)

                อินเทอร์เน็ตถือได้ว่าเป็นสังคมของผู้ใช้คอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดโลก ซึ่งมี  Web Site  จำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดต่อสื่อสารของคนทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการทางด้านการค้นหาข้อมูลที่ต้องการ (Search Engine), การให้บริการด้านอีเมล์ , การให้บริการพื้นที่สำหรับการสร้าง  Web Site  หรือการให้บริการทางด้านห้องสนทนา (Chat Room)
 
การศึกษาระยะทางไกล (Distance Education)

                ด้วยเทคโนโลยีของอินเทอร์เน็ตที่ก่อกำเนิดมาจากการศึกษา ในขั้นเริ่มต้นของ WWW ความสามารถในตอนนี้คือสามารถทำเป็นหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ได้อยู่แล้ว โดยสามารถทีทั้งภาพและข้อความ แต่ในปัจจุบันภาพวีดีโอและเสียงต่าง ๆ สามารถถูกส่งผ่านระบบอินเทอร์เน็ตไปถึงผู้เข้าชม  Web Site  ได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นการศึกษาระยะไกล หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งในปัจจุบันว่า E - Learning จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้และกำลังแพร่หลายในปัจจุบัน

ธุรกิจออนไลน์ (Online Business)

                นับเป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญในการทำการค้าของมนุษยชาติเมื่อรูปแบบการค้าที่เคยทำกันมาตั้งแต่อดีต ถูกแทนที่ด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อนว่า การค้าขายโดยผ่านระบบคอมพิวเตอร์จะทำได้จริงโดยไม่จำเป็นจะต้องมีคนมาเป็นพนักงานขาย  บริษัทที่เป็นผู้บุกเบิกการค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ต และประสบความสำเร็จที่คนทั่วโลกรู้จักก็คือ Amazon.com นั้นเอง หลังจากที่ Amazon.com ประสบความสำเร็จสามารถล้มยักษ์ใหญ่ของธุรกิจหนังสือ Barnes and Noble ได้สำเร็จ แม้ว่า Barnes and Noble จะสร้าง  Web Site  มารองรับแล้วก็ตาม กระแสของ E-commerce ประทุขึ้นทั่วโลก แนวโน้มในอนาคต Online Business จะเป็นแนวทางที่เกือบทุกองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งองค์กรธุรกิจจำเป็นต้องนำมาเป็นส่วนหนึ่งของ องค์กร ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง

ทำอย่างไร เมื่อคอมพิวเตอร์แฮงค์

การใช้งาน Windows 98 ปกติต้องบอกว่า เป็นเรื่องธรรมดามาก ๆ เลยที่จะเกิดอาการแฮงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผลเนื่องจาก ระบบของ Windows ยังมีปัญหาต่าง ๆ อยู่ โดยที่หลาย ๆ ท่านก็ยังบอกว่าไม่มี Windows รุ่นไหนหรอกครับที่จะสมบูรณ์ที่สุด ทุกอย่างย่อมต้องมีปัญหา และมีการแก้ไขปรับปรุงไปเรื่อย ๆ ครับ เข้าเรื่องกันดีกว่า ว่าเราควรจะทำอย่างไรดี เมื่อจู่ ๆ เครื่องคอมพิวเตอร์ที่กำลังใช้งาน (หรือเล่น) อย่างเมามัน เกิดอาการนิ่งไปซะดื้อ ๆ ซะนี่ แต่อย่าเพิ่งคิดนะครับ ว่าผมจะสอนวิธีแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่จริงต้องบอกว่า การแก้ไขปัญหาแบบนี้ทำได้ยากมาก ๆ เลยครับ เพราะสาเหตุของการแฮงค์ มีได้ร้อยแปดพันเก้า ต้องไล่ไปทีละจุดทีเดียว จนกว่าจะเจอต้นเหตุของปัญหานั้น ๆ จริง ๆ เอาเป็นว่า วันนี้ จะแนะนำสิ่งที่ควรทำในเบื้องต้นเท่านั้น ลองทำดูทีละขั้นตอนกันนะครับ
อย่าเพิ่งกดปุ่ม Reset หรือปิดเครื่องในทันที
เมื่อเครื่องคอมพิวเตอร์แฮงค์ หรือนิ่งค้างไม่ยอมรับการทำงานต่าง ๆ โดยปกติแล้ว อย่าพยายามกดปุ่ม Reset หรือปิดเครื่องในทันที เพราะการทำแบบนั้น อาจจะมีผลทำให้อุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะ ฮาร์ดดิสก์ มีปัญหาหรือเสื่อมสภาพได้เร็วขึ้น การปิดเครื่อง ควรจะเป็นวิธีสุดท้ายที่จะทำ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้แล้วจริง ๆ เท่านั้น
พยายามปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ค้างอยู่
สิ่งแรกที่ควรทำ คือให้พยายามปิดโปรแกรมหรือซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่และเกิดการค้างขึ้นมา โดยวิธีการคือ ให้กดปุ่ม Ctrl + Alt + Del พร้อม ๆ กันทั้ง 3 ปุ่ม ซึ่งจะมีหน้าต่างเมนูของการ Close Program ขึ้นมา
ตรงนี้ หน้าตาอาจจะไม่เหมือนกับรูปตัวอย่างนี้นัก ขึ้นอยู่กับว่าในเครื่องนั้น มีการเรียกซอฟต์แวร์อะไรไว้บ้าง แต่หลักการของเมนูนี้คือ เราสามารถทำการเลือกปิดซอฟต์แวร์บางตัว (ที่มีปัญหาหรือค้างอยู่ขณะนั้น) ได้เลย โดยปกติ หากมีซอฟต์แวร์ที่มีปัญหาค้างอยู่ มักจะมีข้อความว่า Not Responding ต่อท้ายชื่อซอฟต์แวร์ตัวนั้น ๆ ด้วยเสมอ ก็ให้เลือกปิดไปเลยครับ (ถ้ายังสามารถปิดได้) โดยกดที่ปุ่ม End Task ซึ่งหากไม่มีปัญหาอะไรมาก จะสามารถปิดโปรแกรมนั้นได้ทันที และหลังจากนั้น ก็ควรที่จะสั่ง Restart Computer ใหม่สักครั้ง ก่อนที่จะใช้งานต่อไป
     แต่ถ้าในขณะนั้น ไม่สามารถปิดซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้เลย เราจะทำอะไรได้บ้าง อย่างแรกคือ ให้ทำการทดลองสั่ง Shutdown โดยการกดที่ปุ่ม Shut Down ซึ่งเครื่องอาจจะรับหรือไม่รับก็ได้ ให้ทดลองดูก่อนครับ
     ถ้ากดที่ Shut Down แล้วก็ยังไม่สามารถทำอะไรได้ ขั้นตอนต่อไปคือการกดปุ่ม Ctrl + Alt + Del พร้อม ๆ กันซ้ำอีกครั้ง ถ้าอ่านตามคำอธิบายด้านบนก็จะบอกว่า เป็นการ Restart Computer ใหม่ครับ
     ในบางครั้ง เมื่อเราสั่ง Shutdown อาจจะมีเมนูขึ้นมาถามว่า ยังมีซอฟต์แวร์ที่ใช้งานอยู่ จะให้รอ (Wait) หรือปิดเครื่องไปเลย (Shut Down) เผื่อไว้ว่า บางครั้งเราอาจจะต้องการเวลาบ้าง เพื่อให้มีการ Close ซอฟต์แวร์ตัวนั้นจริง ๆ ตรงนี้ก็ให้เลือก Shut Down ไปเลยครับ
ทำไมต้องปิดซอฟต์แวร์เหล่านี้ก่อนด้วย
     หลาย ๆ ท่านคงสงสัยสิครับ ว่าทำไมเราจึงต้องปิดซอฟต์แวร์เหล่านี้ก่อน ทั้ง ๆ ที่ ความเป็นจริงแล้ว ถ้าเครื่องค้าง เราก็กดปุ่ม Reset หรือกดปุ่มปิดเครื่องแล้วเปิดใหม่เลยก็ได้ ก็ขอแนะนำหลักการง่าย ๆ ครับว่า หากสามารถปิดเครื่องแบบปกติได้ เราควรจะทดลองทำดูก่อนครับ เพราะว่าถ้าเรามีการปิดเครื่องหรือ Shut Down ได้ จะเป็นการเคลียร์ข้อมูลต่าง ๆ ที่ใช้งานของฮาร์ดดิสก์ ให้เรียบร้อยก่อนการ Shut Down จริง ๆ ครับ และเมื่อเปิดเครื่องใหม่ ก็จะสามารถใช้งาน ต่อไปได้ตามปกติทันที (ถ้าหากไม่มีปัญหาทางฮาร์ดแวร์จริง ๆ)
จะเกิดอะไรขึ้น หากไม่มีการ Shut Down ก่อนปิดสวิทช์ไฟ
     ถ้าหากไม่สามารถทำการ Shut Down ได้ก่อนการปิดเครื่อง เมื่อเราเปิดเครื่องมาใหม่ในครั้งต่อ ๆ ไป Windows จะมีการตรวจสอบการทำงานของฮาร์ดดิสก์ก่อนเสมอ โดยการเรียกโปรแกรม Scandisk ขึ้นมาทำงาน เราสามารถข้าม ขั้นตอนนี้ไปได้โดยการกด Enter เพื่อออกจากการทำ Scandisk ได้เลย (แต่ปกติแล้ว ก็ควรจะรอให้เครื่อง Scandisk ให้เรียบร้อยจะดีกว่า) หรือในบางครั้ง หากมีปัญหาค่อนข้างมากจริง ๆ เราอาจจะเห็นเมนูให้เลือกเข้า Safe Mode ซึ่งควรที่จะเลือกเข้า Sefe Mode สักครั้งหนึ่งก่อน ถ้าหากเครื่องไม่มีปัญหาอะไรจริง ๆ ก็สั่ง Restart Windows ใหม่ ทุกอย่างก็จะกลับมาทำงานเป็นปกติเหมือนเดิมครับ
Blue Screen คืออะไร
     หลาย ๆ คนคงจะเคยได้ยินคำ ๆ นี้มาบ้างแล้ว ที่จริงแล้ว Blue Screen ก็คือการแฮงค์ ของเครื่องคอมพิวเตอร์แบบหนึ่งนั่นเอง แต่แทนที่จะมีอาการแบบ นิ่ง หรือค้างไปเฉย ๆ ที่หน้าจอ จะกลายเป็นสีฟ้า และมีตัวหนังสือบอกรายละเอียดต่าง ๆ (ที่อ่านไม่เห็นจะเข้าใจเลย) ส่วนใหญ่แล้ว ก็จะมีข้อความบอกว่า ให้กดคีย์อะไรก็ได้ เพื่อทำงานต่อไป หรือกด Ctrl + Alt + Del เพื่อทำการ Restart Computer ถ้าหากเจอหน้าจอแบบนี้ ก็มีหลักการเดียวกันครับ คือกดลองกดปุ่มอะไรก็ได้ก่อน และพยายามทำการ Shut Down ให้ได้ แต่ถ้าหากไม่ได้จริง ๆ ก็กด Ctrl + Alt + Del เพื่อบูทเครื่องใหม่เลยครับ
Power Supply ของเคสรุ่นใหม่แบบ ATX
     แถมท้ายสำหรับผู้ที่ใช้เครื่องที่มีระบบ Power Supply แบบ ATX ซึ่งจะใช้ซอฟต์แวร์ในการควบคุมสวิทช์ ปิด-เปิด ดังนั้นหากเครื่องแฮงค์ ในบางครั้งอาจจะไม่สามารถกดปิดเครื่องได้ ให้ทำการกดปุ่ม Power นั้นค้างไว้ประมาณ 10 วินาทีครับ จะเป็นการสั่งให้เครื่องปิดได้ โดยไม่ต้องอาศัยซอฟต์แวร์มาช่วย
ปัญหาส่วนใหญ่ เกิดจากอะไรบ้าง
     ส่วนใหญ่ของปัญหาเครื่องคอมพิวเตอร์ค้างก็มีได้มากมาย แต่สาเหตุหลัก ๆ ก็ขอรวบรวมมาไว้ตรงนี้
     1.
การไม่เข้ากันของอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่นเมนบอร์ดกับการ์ดจอ หรือการ์ดเสียง
     2.
การต่อสายไฟ สายส่งข้อมูลต่าง ๆ หลวมหรือต่อไว้ไม่แน่นดีพอ
     3.
การเสียบแรม ขั้วต่อสาย หรือ การ์ด ต่าง ๆ หลวมหรือไม่แน่น
     4.
ความสกปรกของจุดสัมผัสของอุปกรณ์ เช่นขาของแรม ขั้วต่อของการ์ดต่าง ๆ ในเครื่อง
     5.
ฮาร์ดดิสก์ เริ่มมีปัญหา หรือใกล้จะเสีย
     6.
ระบบไฟ หรือระบบจ่ายไฟไม่ดีพอ เช่นไฟตกบ่อย ๆ หรือชุดจ่ายไฟไม่ดี
     7.
การลงโปรแกรมไม่สมบูรณ์ หรือมีปัญหากับซอฟต์แวร์บางตัว
     8.
ความร้อนของ ซีพียู พัดลมของ ซีพียู ตรวจสอบว่ายังทำงานได้ปกติหรือไม่
     9.
ก่อนที่จะเกิดปัญหา ได้มีการทำอะไรบ้าง เช่นลงโปรแกรมเพิ่ม หรือเพิ่มการ์ดในเครื่อง นั่นอาจจะเป็นสาเหตุหลักก็ได้

GA card แบบ AGP

GA card แบบ AGP
GA card แบบ AGP
===============
AGP ย่อมาจาก Accelerated Graphics Port พัฒนาโดย
Intel โดยอ้างอิงอยู่กับมาตรฐาน PCI 2.1 จึงมีแบนด์วิดท์อยู่ที่
66 MHz. จุดประสงค์ของ AGP ก็เพื่อเพิ่มความเร็วในการแสดง
ผลโดยเฉพาะกับวัตถุ 3 มิติและการทำพื้นผิวที่เรียกว่า texture
ทำให้การแสดงผลภาพวิดิโอที่ละเอียดและราบรื่นมากขึ้น

สำหรับการพัฒนา AGP โดยอินเทลเริ่มใช้ตั้งแต่ยุคของ Slot-1 และ
Pentium II ในปัจจุบันก็ยังมีใช้อยู่รวมทั้งบอร์ดของซ็อคเก็ต 7 ที่
เรียกว่า Super 7 ก็สนับสนุน AGP ด้วย AGP ยุคแรกเป็น AGP
แบบ 1X ต่อมา 2X และที่สูงสุดตอนนี้คือแบบ 4X ทีมีในเมนบอร์ด
ที่ใช้ชิพเซ็ตรุ่นใหม่ ๆ

การสร้างภาพ 3 มิติจะมีส่วนประกอบที่สำคัญ 2 ส่วนคือ การสร้างวัตถุ
3 มิติและการทำพื้นผิว โดยทั่วไปหน้าที่การสร้างวัตถุ 3 มิติจะเป็นหน้าที่
ของซีพียูเนื่องจากซีพียูสามารถคำนวณเลขทศนิยมได้จำนวนมาก ๆ ได้
ดีกว่าชิพแสดงผล ส่วนชิพแสดงผลที่อยู่ในการ์ดวีจีเอจะจัดการทางด้าน
การทำพื้นผิวและแสงเงาต่าง ๆ ถ้ายิ่งมีการใช้พื้นผิวขนาดใหญ่ จำนวนบิต
สีมาก ๆ แล้วจะต้องมีการโอนถ่ายข้อมุลจำนวนมากมายและต่อเนื่องเช่นเกมส์
ประเภท 3 มิติ การเล่นเกมส์ให้ได้ความเร็วสูง ๆ แอพพลิเคชั่นทางธุรกิจ
วิศวกรรมโยธา แอนิเมชั่นต่าง ๆ นี่ก็ต้องการแรมมมาก ๆ นะครับ อย่าคิดว่า
เราไม่ได้ทำงานพวกนั้นนะครับก็อาจจะเป็นการเรียนหรือเอามาศึกษาครับ
โปรแกรมที่ต้องการการประมวลผลที่ต้องการความเร็วนี่หากมีหน่วยความจำ
มาก ๆ นี่ก็จะช่วยให้ความสามารถทางด้าน 3 มิติดีและเร็วครับ ไม่ต้องมามัว
นั่งคอยทรมานอยู่นะครับ เช่น หากมีงานพรีเซนเตชั่นที่ต้องการให้เห็นสินค้า

หรืออุปกรณ์ที่ต้องการเห็นในหลายมุมมองหรือที่ใกล้ ๆ ก็พวกชาร์ตของ
เอ็กเซลที่แสดงผลแบบแอนิเมชั่นนะครับที่ขนาดใหญ่ ๆ นั้นต้องการหน่วย
ความจำในการแสดงผลมากทีเดียวครับ การเพิ่มแรมบนการ์ดแสดงผลนั้น
เป็นการแก้ปัญหาที่มีราคาแพงเพราะต้อนทุนในการผลิตแรมที่มีราคาสูง ถือว่า
เป็นการสิ้นเปลือง การ์ดแบบ AGP ออกแบบมาเพื่อเป็นการแก้ปัญหานี้โดยจะ
มีช่องทางที่สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ขึ้นอยู่กับบัสใด ๆ มีการจัดการเป็นของตน
เอง ช่องทางที่สร้างขึ้นนี้จะทำการติดต่อระหว่าง System Memory หรือแรม
ที่อยู่บนเมนบอร์ดติดต่อกับ Graphic Chip เพื่อเพิ่มความเร็วในการถ่ายข้อมูล
และดึงเอาส่วนที่ว่างของ System Memory มาใช้ในการประมวลผลของ
Texture ขนาดใหญ่ช่องทางนี้คือ AGP ทำให้ลดการใช้แรมจำนวนมากบนตัวการ์ด
การ์ดวีจีเอแบบ AGP คุณสมบัติของการ์ด AGP คือ DIME หรือ Direct Memory
Excecute การประมวลผลผ่านหน่วยความจำของระบบหรือแรมโดยตรง
เสมือนว่าเป็นหน่วยความจำของตนเอง ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีแรมบนตัวการ์ดแสดงผล
ที่มากมาย

ความจำหลักนั้นจะส่งผลให้มีการส่งผ่านข้อมูลของการ์ดวีจีเอมี
ความรวดเร็วขึ้น การส่งผ่านข้อมูลของหน่วยความจำหลักจะขึ้น
กับชนิดของหน่วยความจำดังนี้ครับ
1. แบบ EDO DRAM.SDRAM จะได้ 528 MB/S
2. แบบ SDRAM PC100 จะได้ 800 MB/S
3. แบบ DRDRAM จะได้ 1.4 GB/S

ดังนั้นการที่จะได้ความเร็วของการส่งผ่านข้อมูลของ AGP กี่ X นั้น
ก็ต้องขึ้นกับชนิดของหน่วยความจำหลักด้วยครับ เช่น คุณใช้เมนบอร์ด
ที่รองรับ AGP4X แต่ใช้ SDram ก็ไม่ได้ใช้ความสามารถถึง 4X หรอกครับ
เพราะแรมมีความไวไม่ถึงครับ

เข้าใจเรื่องกี่ X ของ AGP
=================
เมื่อมีการเรียกใช้ข้อมูลพื้นผิว ข้อมูลพื้นผิวจะถูกอ่านจากอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลเช่น
ฮาร์ดดิสก์หรือซีดีรอมเอาไปเก็บไว้ใน System Memory จากนั้น Graphic Chip
จะประมวลผล Texture จาก System Memory ผ่านทางพอร์ต AGP เมื่อได้ผลลัพธ์

แล้วจะส่งมายังบัฟเฟอร์ซึ่งก็คือ Local Video Memory เพื่อนำมาแปลงเป็นสัญญาณ
ภาพแสดงที่มอนิเตอร์อีกทีหนึ่ง
AGP มีความกว้างของบัสเท่ากับ 32 บิตเหมือนกับ PCI แต่แตกต่างตรงกับที่มันวิ่งที่
ความเร็วเท่ากับความเร็วของ FSB ซึ่งต่างกับ PCI ที่วิ่งด้วยความเร็วครึ่งหนึ่งของ FSB
หากเป็นบัสความไว 66 MHz. ก็จะปรับค่าสัดส่วน AGP เป็น 1/1 บนบัสความไว 100 MHz.
จะปรับค่าสัดส่วน AGP เป็น 2/3 ส่วนเมนบอร์ดรุ่นใหม่ที่ใช้บัว 133 MHz. ก็จะปรับค่า
สัดส่วน AGP เป็น 1/2 ทำให้การโอนถ่ายข้อมูลของ AGP มีมากกว่า PCI ถึง 2 เท่า นอก
จากนั้น AGP ยังสามารถส่งข้อมูลได้ถึง 2 ครั้งต่อ 1 รอบสัญญาณนาฬิกาโดยจะทำการส่ง
ข้อมูลทั้งขอบขาขึ้นและขาลงของสัญญาณนาฬิกา ทำให้มีการโอนถ่ายข้อมูลมากกว่า PCI
ถึง 4 เท่าหรือ ประมาณ 528 MB./s และเนื่องจาก AGP เป็นบัสแบบ pipeline ซึ่งทำให้
ชิพวีจีเอสามารถประมวลและโอนถ่ายข้อมูลข้อมูลเป็นได้อย่างเต็มที่ อีกทั้ง AGP ยังได้เพิ่มบัส
พิเศษอีก 8 เส้นเรียกว่า Sideband Addressing สำหรับให้ชิพวีจีเอประมวลผลคำสั่ง
พร้อมกับส่งข้อมูลผ่านทางเมนบัส 32 เส้นได้

108 ปัญหา เครื่องคอมพิวเตอร์ ที่พบกันบ่อย ๆ และแนวทางการแก้ไขเบื้องต้น

รวบรวมปัญหาต่าง ๆ ที่พบได้บ่อย ๆ กับการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยได้พยายามรวบรวมปัญหาที่พบเห็นกันบ่อย ๆ และนำมาสรุปให้เป็นแนวทางสำหรับ การแก้ไขปัญหาเบื้องต้น หวังว่าจะมีประโยชน์กับคนอื่น ๆ ได้บ้าง
ปัญหาของ Windows
• หลังจาก Setup Windows ใหม่แล้วเกิดการค้าง ไม่ยอมทำการ Setup ต่อไป
เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ แต่สิ่งหนึ่งที่พบบ่อย ๆ คือการตั้งค่า Virus Warning ใน bios ไว้ทำให้เครื่องไม่สามารถ เขียนข้อมูลทับลงบนส่วนของ boot record ของฮาร์ดดิสก์ได้ ให้ลองแก้ใน bios ตั้งให้เป็น Disable ไว้ก่อน และหลังจากทำการ Setup Windows เสร็จแล้วค่อยตั้งเป็น Enable ใหม่
• หลังจาก Setup Windows จะขึ้นข้อความ Windows Protection Error
ที่พบบ่อย ๆ มากคือปัญหาของ RAM อาจจะเป็นเฉพาะช่วงที่ทำการ Setup Windows เท่านั้น (โดยที่ปกติก่อน Setup Windows จะใช้งานได้ ไม่เป็นอะไร) ให้ทดลองหา RAM มาเปลี่ยนใหม่ดู หรือหากเป็น SDRAM ให้ทดลองตั้งค่าใน bios ค่าของ CAS จากที่ตั้งเป็น 2 ลองตั้งเป็น 3 ดู อาจจะช่วยแก้ปัญหาได้บ้าง
• ใช้ AMD K6II-350 ขึ้นไปลง Windows95 แล้วเกิด Error แต่ลง Windows98 ได้
จะเกิดจากการใช้ CPU ของ AMD ที่มีความเร็วตั้งแต่ 350MHz ขึ้นไปกับ Windows95 วิธีแก้ไขคือไป Download Patch สำหรับแก้ปัญหานี้ที่ AMDK6UPD.EXE มาแก้ไขโดยสั่งรันไฟล์นี้แล้วบูทเครื่องใหม่ก่อน อ่านรายละเอียดที่นี่
ปัญหาของ ฮาร์ดแวร์
• RAM หายไปไหนเนี่ย ใส่เข้าไป 32 M. ทำไม Windows บอกว่ามี 28 M. เอง
อาการของ RAM หายไปดื้อ ๆ จะเกิดกับการใช้เมนบอร์ดรุ่นที่มี VGA on board นะครับ ที่จริงก็ไม่ได้หายไปไหนหรอก เพียงแต่ส่วนหนึ่งของ RAM จะถูกนำไปใช้กับ VGA ครับและขนาดที่จะโดนนำไปใช้ก็อาจจะเป็น 2M, 4M หรือ 8M ก็ได้ขึ้นอยู่กับการตั้งใน BIOS ครับ
• ใช้เครื่องได้สักพัก มักจะแฮงค์ พอปิดเครื่องสักครู่แล้วเปิดใหม่ ก็ใช้งานต่อได้อีกสักพักแล้วก็แฮงค์อีก
อาจจะเกิดจากความร้อนสูงเกินไป อย่างแรกให้ตรวจสอบพัดลมต่าง ๆ ว่าทำงานปกติดีหรือเปล่า หากเครื่องทำ Over Clock อยู่ด้วยก็ทดลองลดความเร็วลงมา ใช้แบบงานปกติดูก่อนว่ายังเป็นปัญหาอยู่อีกหรือเปล่า ถ้าใน bios มีระบบดูความร้อนของ CPU หรือ Main Board อยู่ด้วยให้สังเกตค่าของ อุณหภูมิ ว่าสูงเกินไปหรือเปล่า ทั้งนี้อาจจะทำการเพิ่มการติดตั้งหรือเปลี่ยนพัดลมของ CPU ช่วยด้วยก็ดี
• มีข้อความ BIOS ROM CHECK SUM ERROR ตอนเปิดเครื่อง
อาการนี้ส่วนใหญ่เกิดจากถ่านของ BIOS หมดหรือเกิดการหลวมครับ ให้ลองขยับถ่านให้แน่น ๆ ดูก่อน ถ้าไม่หายก็ต้องลองเปลี่ยนถ่านบนเมนบอร์ดดู (ก่อนเปลี่ยนถ้ามี Meter วัดไฟดูก่อนก็ดี) หลังจากเปลี่ยนแล้วให้ทำการ Clear BIOS Jumper ก่อนด้วย จะเป็น Jumper ใกล้ ๆ กับ IC BIOS นั่นแหละ ทำการ Jump ค้างไว้สัก 5 วินาทีแล้วก็ Jump กลับที่เดิมก่อน หลังจากนั้นต้องเข้าไปตั้งค่าต่าง ๆ ของ BIOS ใหม่ด้วย
• ลืม Password ของ BIOS จะทำยังไงดี
ให้ทำการถอดถ่านของ BIOS ออกสักครู่ แล้วใส่กลับเข้าไปใหม่ ทำการ Clear Jumper BIOS ก่อนด้วย หรือลองดูวิธีการ Clear/Reset Password ของ BIOS
• ซื้อฮาร์ดดิสก์มาขนาดใหญ่ ๆ แต่หลังจากทำการ Format แล้วเครื่องมองเห็นแค่ 2G
อย่างแรกให้ดูก่อนเลยว่า ใช้ระบบ FAT16 หรือ FAT32 ถ้าหากเป็น FAT16 จะมองเห็นได้สูงสุดแค่ 2G ต่อ 1 Partition เท่านั้น ต้องใช้แบบ FAT32 ครับ วิธีการคือใช้ FDISK ของแผ่น Startup Disk WIN98 มาทำ FDISK (ถ้าเป็น FDISK จาก DOS หรือ WIN95 จะเป็นแบบ FAT16) ดูวิธีการทำ fdisk และ การ format ฮาร์ดดิสก์ ที่นี่
• ไม่สามารถใช้งาน ฮาร์ดดิสก์ได้มากกว่า 8G. สำหรับเมนบอร์ดรุ่นเก่า ๆ
เกิดจากที่ BIOS ไม่สามารถรู้จักกับ ฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาดใหญ่ ๆ ได้ จะเป็นกับเมนบอร์ดรุ่นเก่า ๆ ที่เคยพบมาอีกแบบคือ Windows มองเห็นเกิน 8G แต่ไม่สามารถใช้งานได้ จะบอกว่าฮาร์ดดิสก์ของเราเต็ม วิธีแก้ไขอย่างแรกคือ ให้ลองทำการ Update BIOS เป็น Version ใหม่ดูก่อน (ถ้าหาได้) หรือไม่ก็หา Download โปรแกรมสำหรับจัดการพื้นที่ฮาร์ดดิสก์ จากเวปไซต์ของผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ยี่ห้อนั้น ๆ หรืออาจจะใช้วิธีการแบ่ง Partition ให้มีขนาดใหญ่ไม่เกิน 8G ต่อ 1 Partition ก็อาจจะช่วยได้
ปัญหาของ ซอฟต์แวร์
• หลังจากลงโปรแกรมป้องกันไวรัส McAfee 4.0.3 แล้วไม่สามารถบูทเข้า Windows ได้
เท่าที่พบจะเกิดกับบางเครื่องเท่านั้น ปัญหาเกิดจากหลังจากที่เราติดตั้ง McAfee ลงไปแล้ว เครื่องจะทำการ Scan ข้อมูลในฮาร์ดดิสก์โดยใส่เป็น Batch File ไว้ในไฟล์ autoexec.bat ซึ่งบางครั้งจะเป็นปัญหาทำให้ค้าง ไม่ยอมเข้า Windows ต่อไป วิธีแก้ไขคือ ให้เปิดเครื่องเข้าใน MS-DOS Mode โดยกดปุ่ม F8 ค้างไว้ขณะเปิดเครื่อง จะเข้ามาที่เมนู Microsoft Windows 98 Startup Menu เลือกข้อ 6. sefe mode command prompt only แล้วใช้คำสั่ง "edit autoexec.bat" เพื่อแก้ไขไฟล์โดยให้ลบบรรทัดที่มีคำสั่ง scan.exe ออกครับ ทำการ save file แล้วทดลองบูทเครื่องใหม่อีกครั้ง
• พิมพ์หน้า Web Page ออกเครื่องพิมพ์แบบ Ink Jet เป็นภาษาไทยไม่ได้ จะมีแต่ภาษาอังกฤษ
ส่วนใหญ่ ปัญหานี้จะเกิดกับการใช้เครื่องพิมพ์แบบ อิงค์เจ็ท รุ่นใหม่ ๆ วิธีแก้ไขคือ ให้ลองหา Download Driver รุ่นใหม่ ๆ ของเครื่องพิมพ์จาก Web Site ของเครื่องพิมพ์นั้น ๆ เพราะบางครั้งอาจจะมีการแก้ไขปัญหานี้แล้ว หรือไม่ก็ใช้วิธีเข้าไปตั้งค่า Regional Settings ที่ Control Panel เป็น English(USA) ก่อน เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วก็เปลี่ยนกลับมาเป็น Thai เหมือนเดิม การตั้งค่าก็ทำโดยกดที่ Start เมนู >> Settings >> Control Panel เลือกที่ Regional Settings เปลี่ยนเป็น English(USA)
• สั่ง Defrag Hard Disk แล้วไม่ยอมเสร็จ จะกลับมาเริ่มต้นใหม่ วนแบบนี้อยู่เรื่อย ๆ สาเหตุเกิดจากมีโปรแกรมบางตัวทำงานอยู่ในเวลานั้นด้วยและสั่งเขียนข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ เช่น Screen Saver, Winamp หรือพวก Anti Virus บางตัว ให้ทำการปิดโปรแกรมเหล่านี้ให้หมดก่อน หรืออาจจะใช้วิธีเข้า Windows ใน Self Mode (กด F8 ตอนเปิดเครื่องแล้วเลือก Self Mode)
• ใช้การ์ดจอของ TNT แล้วเมื่อพิมพ์ข้อความต่าง ๆ สระบนล่างไม่ยอมขึ้นมาทันที
ต้องพิมพ์ตัวต่อไปก่อนจึงจะเห็น เป็นปัญหาที่พบบ่อยมาก ๆ กับผู้ที่ใช้การ์ดจอของ TNT ครับให้ลองหา Driver รุ่นใหม่ ๆ จากเวปไซต์ของผู้ผลิตการ์ดจอมาใช้ จะแก้ไขได้หรือใช้ Driver ของ Detonator Version 3.65 ขึ้นไป หาได้จาก http://www.3dchipset.com
Shop Amazon's Gift Cards - Perfect Anytime

.